วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วาดเสือ ... ให้วัว ไป
















เสือจริง เสือหลอก ก้อยังไม่รู้ อะไรๆกับ ปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง มองงาน ก่อสร้าง ก้อออกจะเงียบไปหมด โครงการใหม่ๆ เกิดยาก ได้งานไปแล้ว เงินไม่มีทำบ้าง ได้งานมาแล้ว ต้องทำขาดทุนบ้าง รับงานมาสร้างภาพกันไป ถ้า บริษัท อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ก้อดีไป งานมาหุ้นขยับ ก้อแบบนั้น แล้ว บริษัท ธรรมดาๆ ล่ะ รับงานมาให้มีเงินหมุนสักระยะ พอทำไป พักนึง ได้ยอดหนี้ มาให้จัดการอีก ... ดูแล้วอะไรๆ คงยังไม่ขยับ ยิ่งงานใหม่ในมาบตาพุด ...










วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

งานก่อสร้าง กระทบแน่ !!! กับ ปัญหาดูไบ



ตัวหลักเลยคือกระทบความเชื่อมั่นของผู้ซื้อและนักลงทุน โครงการเมกกะโปรเจคของโลก สวรรค์ดูไบ จะกลายเป็นสวรรค์ร้างหรือเปล่ายังไม่รู้ ภาพสวรรค์สร้างได้ แต่คนที่จะไปตรงนั้น ตอนนี้ กลายเป็นนักธุรกิจ คนทำงานก่อสร้าง ภาพสวรรค์ลวงตาหายไป อะไรจะเกิดขึ้น คนไทยที่ไปทำงานก่อสร้างล่ะ จะทำงานต่อหรือกลับบ้าน ถ้ากลับมาบ้าน งานที่บ้านก้อยังไม่มีอะไรให้ทำ แล้วจะทำอะไร

วิธีแก้ปัญหา : สร้างภาพลวงตาใหม่ ขุดเลยคอคอดกระ กระทบคนในพรรคบ้าง ก้อช่างมันเถอะ

ข่าวจากเนชั่น
วิกฤติดูไบ บทเรียนนักลงทุน

29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 07:28:00
หลายปีที่ผ่านมา ความเฟื่องฟูของดูไบดูเหมือนยั้งไม่อยู่จริงๆ เพราะรัฐแห่งนี้อวดความหรูหราที่ล้นเกินตั้งแต่การมีเนินเล่นสกีในร่ม หมู่เกาะที่สร้างด้วยมือมนุษย์ อาคารสูงที่สุดในโลก และความฝันที่จะไปไกลมากกว่านี้ แต่เมื่อเวลาชำระหนี้มาถึง ปัญหาทางการเงินก็ทำหน้าที่สะท้อนความจริง ให้เห็นความหรูหราของสิ่งที่สร้างขึ้นด้วยเงินและเวลาที่หยิบยืมมาล่วงหน้า
สำนักข่าวเอพีรายงานว่าการที่บริษัทดูไบ เวิลด์ ประกาศเลื่อนชำระหนี้ 6 หมื่นล้านดอลลาร์ มีแนวโน้มจะทำให้นักลงทุนระหว่างประเทศพลอยมองประเทศอื่นในอ่าวเปอร์เซียที่ระมัดระวังในการใช้จ่ายเงิน ด้วยแววตาสงสัยไปด้วย
นักวิเคราะห์ชี้ว่า ครั้งหนึ่งนักลงทุนระหว่างประเทศเต็มใจที่จะเสี่ยงกับบรรดาประเทศในอ่าวเปอร์เซีย ส่วนใหญ่เพราะชาติเหล่านี้ร่ำรวยน้ำมัน แต่วิกฤติการเงินโลกทำให้บรรดานักลงทุนไม่ค่อยเต็มใจเสี่ยงอีกต่อไป และวิกฤติดูไบก็จะยิ่งตอกย้ำให้นักลงทุนมีท่าทีระมัดระวังมากขึ้น
"นักลงทุนต่างชาติจะแบ่งแยกโอกาสการลงทุนในอ่าวเปอร์เซีย โดยพิจารณาว่าประเทศไหนมั่งคั่งน้ำมัน และประเทศไหนไม่มั่งคั่ง" ไซมอน เฮนเดอร์สัน ผู้เชี่ยวชาญพลังงานแห่งสถาบันนโยบายตะวันออกใกล้ของสหรัฐ แสดงทัศนะ
ดูไบต่างจากซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ หรือแม้แต่อาบูดาบี ซึ่งเป็นรัฐหนึ่งของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เช่นกัน ในแง่ที่ดูไบไม่ได้มั่งคั่งจากน้ำมันมากนัก แต่บริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลซึ่งรู้จักกันในนามดูไบ อิงค์ ได้เข้าไประดมทุนในตลาดสินเชื่อเพื่อนำเงินมาอุดหนุนการเติบโตแบบละลานตา
ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา รัฐเล็กๆ 1 ใน 7 ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์แห่งนี้ แปลงโฉมตัวเองเป็นศูนย์กลางการเงินในภูมิภาค แม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยว และคนงานต่างชาติ
ดูไบสร้างตึกสูงลิบลิ่วและเนินเขาสำหรับเล่นสกี ทั้งยังสร้างบรรยากาศของการใช้ชีวิตแบบสุดขั้วซึ่งไม่มีในรัฐอื่นของยูเออีและประเทศอื่นในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นเกาะรูปต้นปาล์ม หรือเบอร์จ ดูไบ ตึกสูงที่สุดในโลก ซึ่งจะเปิดตัวในเดือนม.ค. แต่วิกฤติสินเชื่อโลกทำให้ฝันเหล่านี้สลาย มีการยกเลิกโครงการต่างๆ ขณะที่คนงานต่างชาติต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้าน ปล่อยให้อาคารหลายหลังสร้างค้างอยู่อย่างนั้น ขณะที่อพาร์ตเมนต์จำนวนมากยังขายไม่ได้ หรืออยู่ในสภาพว่างเปล่า
ภาระหนี้โดยรวมของดูไบที่มีอย่างน้อย 8 หมื่นล้านดอลลาร์ ตอกย้ำความร้ายแรงของฐานะการเงินดูไบ ขณะที่คำกล่าวในเวลาต่อมาของเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านการเงินของดูไบที่ระบุว่าการเลื่อนชำระหนี้เป็นการตัดสินใจทางธุรกิจที่สมเหตุผล และมีการวางแผนอย่างดี ก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาความเสียหายมากนัก
เฮนเดอร์สันชี้ว่าเป็นการตัดสินใจที่อหังการมากกรณีที่ประกาศเลื่อนชำระหนี้ก่อนถึงวันขอบคุณพระเจ้าในสหรัฐเพียงวันเดียว และก่อนเทศกาลสำคัญของอิสลาม 3 วัน
"เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่ตระหนักว่าจะไม่มีคนมองว่าการประกาศดังกล่าวเป็นการสบประมาทประชาคมการเงินโลก" เฮนเดอร์สันระบุ พร้อมเสริมว่าไม่น่าประหลาดใจหากบรรดาเจ้าหนี้จะไม่มีความเห็นใจ
ทั้งนี้ ความวิตกเกี่ยวกับปัญหาหนี้มีมากขึ้น เพราะทางการดูไบไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก นอกจากนั้น การประกาศพักหนี้ยังก่อให้เกิดความวิตกว่าถ้อยคำรับประกันที่ดูไบเอ่ยออกมาในช่วง 2-3 เดือนก่อนหน้านี้ เป็นเพียงความพยายามปกปิดความหนักหน่วงของปัญหาหรือไม่
กระนั้น อย่างน้อยข่าวคราวล่าสุดเกี่ยวกับดูไบก็เป็นเหมือนสัญญาณเตือนหรือการปลุกให้นักลงทุนหันมามองความจริง
"ปัญหาในปัจจุบันของดูไบเป็นผลสืบเนื่องอันยาวนานจากฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตกในโลก มากกว่าจุดเริ่มต้นของวิกฤติการเงินครั้งใหม่" นักวิเคราะห์ของแคปิตอล อีโคโนมิก สรุปในรายงานวิจัย ขณะที่นักวิเคราะห์รายอื่นกล่าวว่าไม่ค่อยสบายใจที่ดูไบไม่ค่อยเปิดเผยเกี่ยวกับสถานะทางการเงิน
ชีคโมฮัมเหมด บิน ราชิด อัลมักทูม เจ้าผู้ครองรัฐดูไบ ไม่สนใจเกี่ยวกับความวิตกเรื่องสภาพคล่องของดูไบมาตลอด ทั้งยังปฏิเสธมาหลายเดือนว่าความตกต่ำทางเศรษฐกิจโลกไม่ได้แม้แต่ระคายรัฐอันหรูหราแห่งนี้ โดยเมื่อ 2 เดือน ชีคมักทูมเพิ่งบอกให้คนที่วิจารณ์ดูไบ "หุบปาก"
นายเฮนริเก ไมเรลเลส ผู้ว่าการธนาคารกลางบราซิล ชี้ว่าการเลื่อนชำระหนี้ของบริษัทในดูไบ เป็นเหมือนสัญญาณเตือนให้หลีกเลี่ยงภาวะของความเพลิดเพลินใจจนลืมตัว เขาเสริมว่าไม่มีธนาคารบราซิลรายใดที่ปล่อยกู้ให้บริษัทดูไบที่ประสบปัญหา
"การฟื้นตัวดำเนินไปอย่างล่าช้า เจ็บปวด และไม่แน่นอน ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายเหตุผลที่ทำให้เราต้องตื่นตัวอยู่เสมอและไม่ลำพองใจเกินไป" นายไมเรลเลสกล่าว

หวั่น'ดูไบ'จุดชนวนผวา'หนี้ภาครัฐ'โดยเฉพาะปท.รวยที่กู้แหลกสู้วิกฤต
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 พฤศจิกายน 2552 07:53 น.
สถานที่ก่อสร้างแถบธุรกิจของดูไบ
เอเอฟพี – นักวิเคราะห์ชี้ปัญหา “ดูไบ เวิร์ลด์” ขอพักชำระหนี้ราว 59,000 ล้านดอลลาร์เป็นเวลา 6 เดือน นอกจากจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประเทศในกลุ่มอาหรับแล้วยังสะเทือนต่อเนื่องถึงรัฐบาลทั่วโลก โดยเฉพาะพวกประเทศร่ำรวยที่พากันก่อหนี้สาธารณะและทุ่มใช้จ่ายอย่างหนักเพื่อแก้ปัญหาภาวะเศรษฐกิจถดถอย และขณะนี้ก็ใกล้ถึงเวลาต้องเริ่มชำระหนี้มหาศาลเหล่านั้นแล้ว

องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (โออีซีดี) เตือนว่าประเทศอุตสาหกรรมของโลกทั้ง 30 ประเทศ กำลังจะได้เห็นภาระหนี้สินของพวกตนเพิ่มทวีขึ้นจนเท่ากับ100 %ของยอดส่งออกในปี 2010 ซึ่งเกือบเป็นสองเท่าตัวของเมื่อ 20 ปีก่อน

คาดการณ์กันว่าหนี้สาธารณะของญี่ปุ่นจะแตะระดับ 200 %ของยอดส่งออกในปีหน้า ขณะที่อิตาลีและกรีซจะอยู่ในราว 127.3 และ 111.8 %ตามลำดับ

ทางด้าน มูดีส์ บริษัทเครดิตเรตติ้งระดับโลก ก็เผยรายงานพยากรณ์เมื่อวันพุธ (25) ว่าอัตราส่วนหนี้สินต่องบประมาณประเทศของทั่วทั้งโลกจะเพิ่มขึ้นราว 45 % ในช่วงระหว่างปี 2007-2010 หรือคิดเป็นตัวเลขของยอดหนี้รวมที่เพิ่มขึ้น ก็จะอยู่ที่ประมาณ 15.3 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้ยอดหนี้สาธารณะรวมทั่วโลกในปี 2010 จะอยู่ในระดับสูงกว่า 49 ล้านล้านดอลลาร์

โดยในยอดหนี้รวมที่เพิ่มขึ้น 45% ดังกล่าวนี้ กว่าสามในสี่จะเป็นของกลุ่ม 7 ประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ (จี 7) เนื่องจากดุลบัญชีการคลังของชาติเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจโลกหนักที่สุด

“เนื่องจากในปี 2009 ประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่มีอัตราการเจริญเติบโตติดลบ ดังนั้นภาระหนี้สินโดยเปรียบเทียบ จึงกำลังเป็นภาระที่ต้องแบกรับด้วยความยากลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ” ไฮเม รอยเชอร์ นักวิเคราะห์ของมูดีส์ชี้

ขณะที่ ซินเซีย อัลซิดี นักเศรษฐศาสตร์แห่งศูนย์นโยบายศึกษาของยุโรปในกรุงบรัสเซลส์กล่าวว่า การที่ประเทศใดมีหนี้สาธารณะเป็นสัดส่วน 100 %ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ก็แปลว่าผลผลิตทั้งหมดที่ผลิตได้ตลอดทั้งปีนั้นจะเป็นส่วนที่ต้องนำไปชำระหนี้

คำถามก็คือว่า “รัฐบาลทั้งหลายอยู่ในฐานะที่จะทำเช่นนั้นได้หรือไม่”

สิ่งที่น่าหวาดหวั่นก็คือ หากตลาดการเงินเริ่มสงสัยถึงศักยภาพของประเทศต่างๆ ในการชำระหนี้ขึ้นมา พวกนักลงทุนก็จะพากันเทขายตราสารหนี้ภาครัฐทิ้ง เช่น พวกพันธบัตรรัฐบาลต่างๆ และนั่นจะทำให้รัฐบาลไม่มีเงินสดสำหรับใช้จ่าย

นักวิเคราะห์อีกส่วนหนึ่งเตือนว่า รัฐบาลที่มีหนี้สินสูงมากจะมีปัญหาเรื่องอันดับความน่าเชื่อถือตามมา ซึ่งทำให้ต้นทุนในการกู้ยืมเงินต้องเพิ่มสูงขึ้นอีก
สถานการณ์ดังกล่าว จะทำให้รัฐบาลมีความโน้มเอียงที่จะยอมขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้แก่พวกเจ้าหนี้ของประเทศ และนั่นก็ยิ่งทำให้ภาระหนี้ของรัฐบาลยิ่งสูงขึ้นไปอีก

“นี่ก็คือวิธีการในการทำระเบิดหนี้สิน” มิเชล อะกลิเอตตา แห่งกลุ่มวิจัย เซปิอี กล่าว

แดเนียล เฟอร์มอน นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโซซิเยเต เจเนราล เตือนว่า “ในกรณีร้ายแรงที่สุดนั้น” ระเบิดหนี้สินจะจุดชนวนให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยรอบใหม่ขึ้นมา

ดังนั้น โดยหลักการแล้ว การกลับไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเข้มแข็งจึงจะต้องลดการกู้ยืมภาครัฐลง ถึงแม้พวกนักเศรษฐศาสตร์ต่างเตือนว่าในสภาพการณ์ปัจจุบันจะยังทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะอ่อนแอก็ตาม

ภาระหนี้สินอาจบรรเทาลงได้บ้าง ถ้าอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าอัตราดอกเบี้ย ทว่า หากปล่อยให้เกิดเงินเฟ้อสูงมากก็จะบั่นทอนการใช้จ่ายของผู้บริโภค และส่งผลให้ “ทุนภาคเอกชนหนีไปอยู่ในมือของประเทศที่มีภาวะเงินเฟ้อต่ำกว่า” ทางแก้ปัญหาดังกล่าวก็คือ “เพิ่มภาษีหรือลดการใช้จ่ายภาครัฐลง”

แต่ทั้งโออีซีดีและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ต่างก็ย้ำว่าหากภาครัฐหยุดการใช้จ่ายเร็วเกินไป ก็จะทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมีปัญหาเช่นกัน

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หลวงพ่อเมตตา


สถานการณ์การงานโครงการต่างๆ ขณะนี้ ผันผวนในทิศทางลง กับปัญหาสิ่งแวดล้อมของมาบตาพุด คนที่อยู่ในโครงการที่กำลังดำเนินการ ก็อุ่นใจกันไปเปราะหนึ่ง แต่คนนั่งทำงานที่รองานใหม่อยู่นี่สิ ถึงคราที่ตุ๋มๆต่อมๆ คนงาน-ช่างไม้-ช่างผูกเหล็ก ไม่มีงานก้อกลับไปอยู่บ้านมีงานก้อกลับมาทำ คนที่เป็นวิศวกร เป็นบัญชี เป็นซุปเปอร์ไวเซอร์ นี่แหละอาจถึงคราลำบากกันก้อครานี้ คณะกรรมการสี่ฝ่าย ตั้งขึ้นยังช้ามาก ใครมาเป็นก้อยังไม่รู้ มีหัวแบบอดีตนายกอานันต์ ประธานคณะกรรมการร่วมฯ กว่าจะคลอดอะไรๆออกมามันต้องมีลำดับมีความชัดเจนโปร่งใส โครงการไม่เฉพาะที่มาบตาพุด แต่มันหมายถึงทุกโครงการที่มีผลกระทบกลับชุมชน ในบริเวณอื่นๆของประเทศด้วย เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้บังคับใช้เฉพาะที่มาบตาพุดเท่านั้น อะไรจะเกิดกับประเทศนี้ ... ทั้งปัญหาเศรษฐกิจปัญหาการเมือง ล้วนยังมองไม่เห็นฝั่ง ทั้งๆที่ตัวเลขดัชนีอุตสาหกรรมฟื้นตัว การใช้จ่ายภาคประชาชนเริ่มขยับตัว แต่งานก่อสร้างล่ะ คงร้องเพลงรอกันต่อไป นานแค่ไหน อยู่ที่คนหาเงินจ่ายเงินเดือนทุกๆเดือนที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง



ขอพรจาก หลวงพ่อเมตตา ... ขออย่าได้ติดบ่วงแหแห่งความยากลำบาก เหมือนคนอื่นๆเลย ถ้าเรือจะจม ก้อขอให้มีขอนไว้เกาะจับด้วยเถิด



กลุ่มพิทักษ์อากาศสดชื่น มาบตาพุด ระยอง www.airfresh-society.co.cc








Posted by Picasa

ขอพึ่งคุณพระคุณเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์

Posted by Picasa

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ลดกำไร เพิ่มอำนาจซื้อ พร้อมกันทั้งประเทศ


ถ้าทุกภาคส่วน พร้อมกันลดกำไร 20 % ของสัดส่วนกำไรเดิม การใช้จ่ายในภาคประชาชนจะเพิ่มขึ้น ทุกภาคส่วน
-*- ลดกำไร ทำให้เศรษฐกิจชาติ แข็งแรงขึ้น -* -








วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ยุคที่ 8 กับการเป็นเสือเศรษฐกิจ ตัวใหม่ของโลก




เช้านี้ กับเสียงพรำของฝนแรกเดือนมิถุนายน ผมวิ่งขึ้นไปเก็บผ้า แล้วลงมาอุ่นกับข้าว 4-5 อย่าง กินคนเดียว มื้อเช้า กับข่าวการล้มละลายของ General Motor-GM ของอเมริกา การประชุมเอเซียน-เกาหลี โดยมีนายกอภิสิทธิ์ เป็นผู้นำการประชุม "วิกฤตควรทำให้กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง ซึ่งทำไปพร้อมๆกับ การเปลี่ยนแปลงสังคม-สิ่งแวดล้อม ที่ดี" อะไรกำลังเกิดขึ้นบนโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วขณะนี้ ผมยังเชื่อว่า ข้อมูลข้างล่างมีความจริง ที่เกิดขึ้น แม้อยู่ในสภาวะตกงานอยู่แบบนี้ก้อตาม ผมถูกมองว่าเป็นคนมองโลกในแง่มุมร้ายอยู่เสมอ แต่ผมกลับภูมิใจในความรู้สึกของการเป็นขอบเฟืองเล็กๆของนาฬิกา ผมเคยไปเจองานนำเสนอ ของ อาจารย์ธนิตสรณ์ จิระพรชัย อาจารย์ประจำคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ที่อ้างหนังสือของ Alvin Toffler ที่พูดถึง ยุคที่ 8 ตามหลักฮวงจุ้ยโลก ในหนังสือ Power Shift ที่เอเซีย จะเป็นเสือเศรษฐกิจตัวใหม่ของโลก ตั้งแต่ปี 2004-2024 (20ปี) - ความจริงที่เกิดขึ้นขณะนี้คือ บริษัทผลิตรถยนต์ ที่ใหญ่ที่สุดในโลกขณะนี้อยู่ในประเทศจีน รวมถึงการ Take Over บริษัทชั้นนำในอเมริกา โดยกลุ่มทุนจากเอเชีย ด้วย นั่นหมายถึง การถ่ายโอน เทคโนโลยี่ จากตะวันตกมาสู่ตะวันออก แล้วโลกก้อจะเปลี่ยนไป
ความสนใจเรื่ององค์ความรู้ เป็นผลพวงที่ดีของระบอบทักษิณ ผมรู้สึกอยู่เสมอว่า เราเคยมีผู้นำที่ดีที่สุด เท่าที่เคยมีมา และวันนี้ ผมยังรู้สึกว่า คนที่อดีตนายกทักษิณเกลียดที่สุด คือตัวตนของตนเอง โทษภัยร้ายของการคบคนชั่วเป็นมิตร แบบ สุวรรณ วลัยเสถียร อาจารย์ ที่เขียนหนังสือ โกงภาษีอย่างไรไม่ให้ถูกจับได้ คนแบบเนวิน ชิดชอบ ที่เคยอยู่กับกลุ่ม 16 และการล้มของ ธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ คนแบบยงยุทธ ติยะไพรัช ที่ชอบใช้อำนาจจนล้นขอบ ระบอบทักษิณปูทางเรื่ององค์ความรู้ ไว้ค่อนข้างมาก กับปรับเปลี่ยน ในองคาพยพของระบบราชการ ที่มุ่งเน้นถึงประโยชน์ ของประชาชน ซึ่งจุดนี้เอง ผมว่าประเทศไทยมีความพร้อม ที่จะเปลี่ยนแปลง แบบมีนัยสำคัญ
Toffler Associates - Creating the Future. Strategy and Management ...


ผมยังรู้สึกถึง พลังงานทางเลือกแบบพลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ อยู่ว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนหนึ่ง ที่จะช่วยเรื่องภาวะโลกร้อนได้ มีความยั่งยืนในการพัฒนา ...


http://sigroup.multiply.com/video/item/2 ปรัชญาดีดี - อดทน ของ อาจารย์ธนิตสรณ์ จิระพรชัย
http://202.28.50.45/UBUKM/album_group/a_2/LO-KM1.ppt งานนำเสนอที่เขียนโดย อาจารย์ธนิตสรณ์ จิระพรชัย
-*- ผมเชื่อในสิ่งที่เห็นที่เป็น มันสอดคล้องกับสิ่งที่มีคนเคยนำเสนอ : ) โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
"อาเซี่ยนทำ อาเซี่ยนกิน อาเซี่ยนใช้ อาเซี่ยนเจริญ"

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

โครงการไหน ใช้เหล็กมาก น่าจะริเริ่มโครงการได้แล้ว



ราคาแร่เหล็กปีนี้ลดลงอย่างรุนแรงถึง 1 ใน 3
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
26 พฤษภาคม 2552 23:30 น.
ริโอ ทินโท บริษัทเหมืองแร่ยักษ์ใหญ่สัญชาติอังกฤษ-ออสเตรเลีย แถลงวันอังคาร(26)ว่า สามารถบรรลุข้อตกลงขายแร่เหล็กให้กับบริษัทนิปปอน สตีลของญี่ปุ่น สำหรับปี 2009/10แล้วด้วยราคาลดลงจากปีที่แล้วราว 33 และ 44% ตามธรรมเนียมที่ยึดถือกันมา การตกลงราคาซื้อขายกันครั้งแรกของฤดูกาลซื้อขายที่เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน จะเป็นการกำหนดราคาซื้อขายแร่เหล็กของโลกในช่วงหนึ่งปี แต่ในปีนี้น่าสถานการณ์น่าจะเปลี่ยนแปลงไป เพราะแม้ราคาจะลดมากกว่าหนึ่งในสาม ทว่าก็ยังไม่เท่ากับที่ผู้ผลิตเหล็กกล้าของจีนต้องการ โดยก่อนหน้านี้ผู้ผลิตเหล็กกล้าของจีนได้พยายามเรียกร้องให้ผู้ขายแร่เหล็กลดลงมา 40 และ 45% โดยอ้างความต้องการในตลาดที่อ่อนตัวลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ นักวิเคราะห์พากันเห็นว่าข้อตกลงนี้คงไม่ส่งผลต่อการเจรจาราคาระหว่างจีนและบริษัทเหมืองแร่เหล็ก เพราะจีนเป็นผู้ซื้อแร่เหล็กรายใหญ่ที่สุดของโลก และจีนก็มีความเชื่อว่าตนเองน่าจะสามารถกำหนดราคาบรรทัดฐานในการเจรจาระหว่างผู้ผลิตเหล็กกล้าและเหมืองแร่เหล็กได้ "ข้อตกลงกับญี่ปุ่นไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นบรรทัดฐานของการเจรจากับจีนด้วย" ดีลเลอร์เหล็กรายหนึ่งกล่าว "ธรรมเนียมปฏิบัติเดิมนั้นน่าจะล้าสมัยไปแล้ว แม้ว่าอาจจะยังใช้ได้กับญี่ปุ่น แต่จีนอาจคิดว่าไม่จำเป็น"

วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2552

ประเมินว่ามันเลวร้าย นั่นแหละการซ้ำเติม

ความเชื่อมั่นที่จะกินที่จะใช้ ของคนที่มีเงินพอที่จะจับจ่ายได้ พลอยหยุดชะงักไปด้วย การที่องค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงินของโลกมาวิเคราะห์และออกมาป่าวประกาศ นั้น ไม่มีผลดีอันใดเลย มันทำให้ความเชื่อมั่นต่างๆ มันยิ่งเลวร้าย




 

ไอเอ็มเอฟระบุเศรษฐกิจโลก ปี 2009 จะดิ่งลงต่ำสุดในรอบ 60 ปี ซึ่งอาจดิ่งลงมากถึง 1.0 เปอร์เซ็นต์ 

รายงานของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ ระบุว่า เศรษฐกิจโลก ในปี 2009 จะดิ่งลงต่ำสุด ในรอบ 60 ปี ซึ่งอาจดิ่งลงมากถึง 1.0 เปอร์เซ็นต์ และการประเมินดังกล่าวของไอเอ็มเอฟ ยังต่ำกว่าการประเมินโดยรวม ที่เพิ่งอัพเดตไปครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 28 ม.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งได้ประเมินอัตราการเจริญเติบโตเศรษฐกิจรายปี ที่ 0.5 เปอร์เซ็นต์ ไอเอ็มเอฟ ระบุว่า การดิ่งลงดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงภาวะวิกฤติการเงิน ข้อมูลด้านลบ และการขาดความเชื่อมั่น อย่างรุนแรง


อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโลก จะเริ่มค่อยๆ ดีขึ้นเพียงเล็กน้อย ในปี 2010 และมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในช่วงระหว่าง 1.5 เปอร์เซ็นต์ และ 2.5 เปอร์เซ็นต์ แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังเสี่ยงต่อการประสบกับภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจอยู่เช่นเดิม

วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2552

ความจริงของโครงการแสนล้าน ปตท.





โครงการ แสนล้าน ของ ปตท. มีส่วนเป็นค่างาน โยธา ไม่ถึง 2,000 ล้าน เป็นส่วนงานที่ ต้อง จ้าง ผู้รับเหมาคนไทย อื่นๆ ในส่วนการติดตั้งเครื่องจักร และอุปกรณ์ต่างๆที่ยังจำเป็นต้องนำเข้าจากต่างชาติ รวมกันแล้ว ทั้งหมดไม่น่าจะเกิน 3,000 ล้าน สำหรับส่วนที่คนไทยเข้าไปเกี่ยวข้องกับเม็ดเงิน แสนล้าน การใช้ตัวเลขเพื่อนำเสนอ และความเข้าใจ จึงขาดข้อเท็จจริง งานโครงการของ ปตท ทุกโครงการในมาบตาพุด แทบจะไม่มี ผู้รับเหมาคนไทย ได้ผลกำไรจากการทำงานเลย และยังมีผลขาดทุนสูงมาก รวมการขาดทุนของ ผรม.ไ ทยที่เข้ามารับงานจากบริษัทข้ามชาติ ไ ม่ต่ำกว่า 500 ล้าน อีกทั้งไ ม่มีความใส่ใจที่จะชดเชยอะไรให้อีกด้วย มีการจ้างงาน วิศวกร+พนักงาน+คนงาน ในโครงการหนึ่งๆ เฉลี่ย 2,000-2,500 คน 10 เดือน คิดเป็นค่าแรง ประมาณ 25ถึง30 ล้าน*10เดือน หรือประมาณแค่ 250ถึง300 ล้าน ในส่วนแรงงานไทย นอกนั้นเป็นค่าเครื่องจักร ค่าวัสดุ  - หรือเป็นค่าแรงงาน และค่าเครื่องจักร ที่ 30% หรือ 1000 ล้าน 

โครงการ แสนล้าน ปตท จ่ายเป็นค่าแรงงานคนไทย(ปนเ ขมร+พม่า) ประมาณ 250-300 ล้าน เท่านั้นเอง



ปตท.พับมาบตาพุดแสนล้าน โวยพิษซัลเฟอร์อ่วมค่าปรับหมื่นล.


    ปตท.เตรียมทบทวนแผนลงทุนปิโตรเคมีมาบตาพุด  1  แสนล้าน  แต่ยังเดินหน้าโรงแยกก๊าซฯ  หน่วย  7  ด้านผู้ผลิตยางยักษ์ใหญ่  "บริดจสโตน-มิชลิน"  จับมือ  สอท.เตรียมยื่นอุทธรณ์ศาลปกครองกลาง  ระเบียบใหม่สารอันตรายซัลเฟอร์เจอดีเอสไอบุกจับ  โดนภาษีย้อนหลัง  บวกค่าปรับกว่าหมื่นล้าน

     นายจิตรพงษ์   กว้างสุขสถิตย์  ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ  บริษัท  ปตท.จำกัด  (มหาชน)  เปิดเผยถึงกรณีคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ  มีมติให้พื้นที่มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษว่า  ปตท.ต้องติดตามสาระและกติกาของประกาศดังกล่าว   ซึ่งยังไม่มีรายละเอียดชัดเจน  โดยเตรียมรายงานในที่ประชุมบอร์ดวันที่  20  มี.ค.นี้  จะมีโครงการไหนที่สร้างแล้ว  โครงการไหนที่ได้รับการอนุมัติแล้ว  และกำลังทยอยลงทุนมูลค่า   1.2  แสนล้านบาท  เช่น  โรงแยกก๊าซฯ  หน่วยที่  6  และส่วนต่อขยายต่างๆ  ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างยื่นอีไอเออย่างโรงแยกก๊าซฯ  หน่วยที่  7  และส่วนต่อขยาย  มูลค่าลงทุนประมาณ  1  แสนล้านบาท  ต้องรอดูความชัดเจนก่อน

     "การประกาศเขตควบคุมมลพิษที่กังวลตอนนี้  คือ  ความเข้าใจยังไม่มากพอว่ากติกาเป็นอย่างไร  เพราะหากไม่เข้าใจก็เดินต่อไม่ได้  ซึ่ง  ปตท.มีการลงทุนด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ปี  49  แล้ว"  นายจิตรพงษ์กล่าว

     สำหรับการก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วย  7  ยังเดินหน้าตามแผนเดิม  แต่อยู่ระหว่างการศึกษาปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติ  เนื่องจากปริมาณสำรองก๊าซฯ  จากอ่าวไทยที่ส่งป้อนให้โรงแยกก๊าซฯ  หน่วย  1-6  มีปริมาณสำรองประมาณ  20  ปี  หรือ  10  กว่าล้านล้านตัน  ซึ่งยังไม่มากพอที่จะป้อนหน่วยที่  7  เพราะต้องมีปริมาณสำรองก๊าซฯ  เพิ่มขึ้นอย่างน้อย  3-4  ล้านล้านตัน  คาดว่าน่าจะสรุปแผนภายในปลายปีนี้

     ทั้งนี้  โรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่  7  มีแผนเริ่มก่อสร้างอีก  1-2  ปี  ใช้เวลาก่อสร้าง  30  เดือน  มูลค่าการลงทุน  2  หมื่นล้านบาท  กำลังผลิต  700  ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

     นางสาวเพชรรัตน์  เอกแสงกุล  ประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มอุตสาหกรรมเคมี  สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย  (ส.อ.ท.)  กล่าวว่า  เอกชนที่ได้รับผลกระทบจากการนำเข้าสารซัลเฟอร์กำลังพิจารณายื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองกลาง  กรณีคำสั่งศาลให้ทุเลาการบังคับตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม  ที่ลงนามโดยนายชาญชัย  ชัยรุ่งเรือง  รมว.อุตสาหกรรม  เรื่องบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย   โดยความเห็นของคณะกรรมการวัตถุอันตรายให้ยกเลิก  "สารซัลเฟอร์"  จากรายชื่อวัตถุอันตรายในบัญชีท้ายประกาศ  ฉบับที่  1  พ.ศ.38  ซึ่งไม่ยุติธรรม  เพราะเดิมเอกชนนำเข้ามาเป็น   10  ปี  เมื่อมีการประกาศเป็นวัตถุอัตรายในปี  49  ผู้ประกอบการนำเข้าปกติผ่านกรมศุลากรแบบถูกต้องและไม่ต้องแจ้งนำเข้าต่อกรมโรงงานอุตสาหกรรม  จนกระทั่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ  (ดีเอสไอ)  บุกจับระบุว่าผู้นำเข้าซัลเฟอร์  27 ราย  ทำผิดกฎหมาย  ทำให้ต้องจ่ายภาษีย้อนหลัง  2,000  กว่าล้านบาท  รวมค่าปรับอีก  4  เท่า  นับหมื่นกว่าล้านบาท

     การเข้าจับกุมของดีเอสไอกระทบต่อภาพลักษณ์การลงทุน  ที่ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่นำเข้าซัลเฟอร์มาผลิตยางรถยนต์และเคมีภัณฑ์  เช่น  บริดจสโตน  มิชลิน  โยโกฮามา  และไทยเรยอน  ซึ่งสารดังกล่าวตามหลักสากลไม่ถูกจัดเป็นวัตถุอันตรายใดๆ  แต่ที่อันตราย  คือ  สารประกอบซัลเฟอร์  โดยเฉพาะกรดซัลฟุริค.

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2552

มาบตาพุด เขตปลอดมลพิษ ปี 2552




http://airfresh-society.co.cc/  หรือ http://upperspace.doubleclickspace.com/

จากปัญหาที่สะสมมาเป็นเวลานาน หลังจากการก่อสร้างท่าเรือ - นิคมมาบตาพุด มาตั้งแต่ สมัยท่านนายกเปรม แผนแม่บทต่างๆ ถูกกำหนดขึ้นแม้กระทั่ง วาระที่เป็น แผนแม่บทแห่งาติ ที่กำหนดให้พื้นที่บริเวณนี้ รองรับอุตสาหกรรมเคมี และมีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ซึ่งได้เริ่มกำหนดมาตั้งแต่ปี 2528 ากปัญหามลพิษที่เพิ่มมากทุกวัน ชาวบ้านในบริเวณมาบตาพุดมีการเจ็บป่วยล้มตาย และเป็นที่มาของ พื้นที่ที่ต้องควบคุมมลพิษ ซึ่งอันที่จริงแล้วมีในหลายจังหวัด ได้แก่ เมืองพัทยา จังหวัดภูเก็ต เฉพาะอำเภอเมืองและอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดปทุมธานี จังหวัดนนทบุรี จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดนครปฐม อำเภอปราณบุรีและอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อำเภอบ้านแหลม อำเภอเมือง อำเภอท่ายางและอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี) และจังหวัดอื่นๆ ที่ร้องขอ - ข้อมูลตั้งแต่ปี 2545 

วันนี้ มีปัญหาเศรษฐกิจ มีปัญหาความมั่นใจในการลงทุน งานก่อสร้าง งานโครงการต่างๆ หดตัวมาก การเป็น พื้นที่ควบคุม นั้น ทำให้เกิด ความล่าช้า ในการขยายโรงงานเดิม และการขออนุมัติสร้างโรงงานใหม่ และวันนี้เป็นที่ต้องจับตามองต่อไปว่า อะไรจะสำคัญกว่ากัน เงินหรือสุขภาพของประชาชน หรือ กันประชาชน ออกนอก พื้นที่ที่มีมลพิษ หรือจะทำอย่างไร ที่ให้โรงงานและชุมชนอยู่ร่วมกันได้ ในสภาวะแวดล้อมที่ดี

ยังคงต้องรอการพิจารณาจาก หลายส่วนทั้ง เอกชน / ชาวบ้าน / รัฐบาล ว่าจะทำอย่างไรต่อไป

วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

คนงานมีค่าแรง เครื่องจักรมีค่าเสื่อม

เอาคนจอดไว้เฉยๆ ต้องจ่ายค่าแรงทุกวัน ปกติคนที่ทำงานในส่วนงานบริหาร ที่ไม่เกี่ยวกับการใช้แรงงาน ความต้องการงานจากบุคคลเหล่านั้นคือทักษะการทำงาน ความรู้ และความสามารถ ช่วงที่เศรษฐกิจมีปัญหา แต่ยังต้องจ่ายค่าแรงจ่ายเงินเดือน สิ่งที่ทำได้คือการเสริมทักษะ การเพิ่มองค์ความรู้ ให้แก่ แรงงานในส่วนงานบริหาร งานคอมพิวเตอร์ การใช้โปรแกรมต่างๆ ถ้ามีความรู้ความเข้าใจที่ดี สามารถทำให้ระบบการทำงานดีขึ้น มีเวลาที่จะคิดและลงมือทำได้อย่างรวดเร็ว การวิเคราะห์ และการติดตามผล ในอนาคตก้อจะดีขึ้นด้วย จอดคนไว้เฉยๆ ไม่ต่างอะไรกับจอดเครื่องจักรไว้เฉยๆ ที่รอสนิมกินให้ผุกร่อนไป ถึงเวลาจะทำงานจริงๆ ก้อเสียเวลามาซ่อมบำรุง หยอดน้ำมันหล่อลื่น

อะไรๆที่หมักหมม มาเป็นเวลานาน ในหลายๆธุรกิจ มีเวลาได้สะสาง ปัดฝุ่นจัดอะไรๆ ให้เป็นระเบียบ หมอดแมลงที่ยังเจาะไชอยู่ จะได้หยุดเจาะไชด้วย

วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Thai Agriculture Product Logistics / คลังอาหารโลก


คำว่า โลจิสติกส์ รับรู้มานานแต่ส่วนมากจะให้ในขบวนการขนส่งและอุตสาหกรรม แต่ขณะนี้ได้ถูกใช้ในทุกๆ องคาพยพ ของระบบเศรษฐกิจ ไม่เว้นงานด้านคอมพิวเตอร์ ข้อมูลต่างๆ แนวทาง ขบวนการถ้าถูกนำมาปรับใช้กับงานด้านเกษตรกรรม คงสามารถใช้เป็นกรอบใหญ่ๆ ได้ และเห็นทิศทางได้ชัดเจนขึ้น ว่าต้องเพิ่มส่วนที่ขาดอย่างไร ผมลองจำลอง ว่าถ้าไทย จะเป็นคลังอาหารโลก จะได้รับการยอมรับอย่างไร คงจะต้องมีแผนงานต่างๆ ให้ชัดเจน เพื่อการยอมรับของนานาประเทศด้วย

รายละเอียด แบบ eMagazine - http://www.boonchoo.org/tapl/
กด ดับเบิ้ลคลิ๊กที่หน้า เมื่อต่องการขยายใหญ่ หรือลองดูแบบเต็มจอก่อน